วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายคืออะไร?


การตลาดแบบเครือข่ายคืออะไร
หลายท่าน อาจเคยได้ยินหรือรู้จักคำว่า ธุรกิจเครือข่าย มาบ้างแล้ว แต่ก็มี  จำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ยังสงสัย ว่าความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไรแน่ วันนี้ผมขอแนะนำคำจำกัดความและความหมายที่แท้ เพื่อคุณจะได้ทราบและแยกแยะได้ว่ามีความแตกต่างกับธุรกิจอื่นๆ อย่างไร
การตลาดแบบเครือข่าย (Network Marketing) เป็นวิธีการนำสินค้าไปสู่ผู้บริโภคที่เติบโตเร็วที่สุด แต่แท้ที่จริงแล้ว จะมีวิธีพื้นฐานแค่ สามวิธีในการเคลื่อนไหวผลิตภัณฑ์ นั่นคือ::
1.    การขายปลีก ซึ่งทุกๆท่านคงจะรู้จักเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
2.   การขายตรง พอจะยกตัวอย่าง ได้แก่ การขายประกัน เครื่องครัว สารานุกรม สาวมีสทีน สาวเอวอน ปาร์ตี้ทัพเปอร์แวร์ที่บ้าน ฯลฯ เหล่านี้เรียกว่าการขายตรง
3.    การตลาดแบบเครือข่าย คือการสร้างองค์กรเครือข่ายสมาชิก ซึ่งมักถูก นำไปใช้และสับสนกันกับการขายตรงอยู่เสมอ

ดังนั้น ธุรกิจเครือข่าย ก็เป็นการตลาดแบบเครือข่าย  อย่างหนึ่งนั่นเอง  เพียงอาจมีรายละเอียดแตกต่างกันไป    ตามระบบของแต่ละธุรกิจนั้นๆ ถ้าคุณ ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว   จะทราบว่า  แท้จริงแล้ว  ธุรกิจเครือข่าย  หรือการทำ  ตลาดแบบเครือข่ายนั้น  มีเสน่ห์   มากกว่า    การตลาดแบบใดใด ทั้งสิ้น…..
ธุรกิจเครือข่าย จึงเป็น ที่พึ่ง ที่หวังของใครหลายๆคน ด้วยคิดว่าสักวัน จะไปให้ถึงจุดหมายนั้นได้..ถ้าได้ศึกษาอย่างเข้าใจดีแล้ว จะทราบว่า มีบางสิ่งที่ ธุรกิจอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ นั่นก็คือเวลา เหตุใด ผมถึงบอกว่าเวลา คือสิ่งที่แตกต่างกับธุรกิจอื่น เพราะว่า ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจเดียวที่ สามารถย่นย่อเวลาการทำงาน ของคุณได้ หรือแม้แต่จะเรียกว่า เป็นการเพิ่มชั่วโมงการทำงานให้แก่คุณนั่นเอง จะดีแค่ไหน ถ้าหากคุณมีเวลาทำงานมากกว่า  8 ขั่วโมง/วัน  (เวลาปกติคนทำงานประจำ)  สมมุติคุณสร้างองค์กรสัก100คน ได้สำเร็จ นั่นหมายถึง ทรัพย์สมบัติ   จำนวนมหาศาลทีเดียว ผมอาจเปรียบเทียบง่ายๆ เพื่อความเข้าใจนะครับ  ถ้าหากว่าเราให้ทีมงานสมาชิกทำสักวันละ3ชั่วโมง นั่นหมายถึง คุณจะได้ชั่วโมงทำงานเพิ่มจาก ทีมงานใต้องค์กรของคุณเอง ถึง 300 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว..โอ้วว..ทีนี้ผมคงไม่ต้องบรรยายนะครับ ว่าผลประโยชน์ ที่คุณควรได้รับ จะขนาดไหน (ลองเอาเงินเดือนคุณคูณเทียบกับ ชั่วโมงทำงานดูครับ)*
@@@@@@@@@@@@@@@

ธุรกิจเครือข่าย แตกต่างจากธุรกิจทั่วไปอย่างไร

สินค้าชิ้นหนึ่ง เมื่อเดินทางออกจากสายพานของโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ผลิตสินค้าจะเลือกช่องทางการกระจายสินค้าได้ 2 แบบ คือ


 ธุรกิจทั่วไป(Traditional Marketing)  : 40% ของราคาสินค้าจะหมดไปกับต้นทุนการผลิต และนำ 60% ส่วนที่เหลือจ่ายเป็นค่าการตลาดให้กับธุรกิจโฆษณา ธุรกิจค้าส่ง และธุรกิจค้าปลีก จะเห็นว่าธุรกิจโฆษณามีบทบาทอย่างมากสำหรับธุรกิจทั่วไปผู้ผลิตสินค้าจะต้องเสียเงินถึง 30% ไปกับการจ้างดารา นักแสดง หรือผู้มีชื่อเสียง เพื่อโปรโมทสินค้าผ่านทางสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลักอย่าง ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือสื่อยุคใหม่อย่าง อินเตอร์เนต บางครั้งผู้บริโภคก็ซื้อสินค้า โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพของมัน บางคนก็อาจจะมีข้อกังขาว่า ผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้น เคยใช้สินค้าหรือไม่?
หรือว่าดารา นักแสดง จะช่วยยกระดับคุณภาพของสินค้าจริงหรือ? ผู้ผลิตยังต้องแบ่ง 10% ของราคาสินค้าให้กับธุรกิจค้าส่ง และให้เครดิตการค้าเป็นเวลายาวนาน เพราะต้องพึ่งพิง ช่องทางการกระจายสินค้าไปสู่ธุรกิจค้าปลีก และอีก 20% ที่จะต้องจ่ายให้กับธุรกิจค้าปลีกนั้น
ผู้ผลิตอาจจะต้องเสียเงินค่าวางสินค้า (Shelf Cost) ให้กับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เช่น ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store)  หรือร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ (Discount  tore/Hypermarket)
ประเด็นทั้งหมดนี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นว่า ค่าการตลาดที่จ่ายไปมากมาย ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของผู้ผลิตหรือไม่ และต้นทุนที่ผู้ผลิตต้องแบกรับ ทำให้ต้องลดคุณภาพสินค้าหรือไม่?

ธุรกิจเครือข่าย(Network Marketing) : 40% ของราคาสินค้าจะหมดไปกับต้นทุนการผลิตเช่นกัน แต่ธุรกิจMLMจะนำ 60% ส่วนที่เหลือจ่ายเป็นค่าการตลาดให้กับนักธุรกิจขายตรงแทน ระบบการจัดจำหน่ายนี้ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมใน 60% ที่เป็นค่าการตลาด




เป็นการเปลี่ยนจากผู้บริโภคเป็นนักธุรกิจเครือข่ายหรือผู้บริโภคกึ่งหุ้นส่วนทางธุรกิจ (consumer/partner) ผ่านทางการใช้สินค้าและหากเมื่อใช้แล้วรู้สึกว่าสินค้าดีมีคุณภาพ ก็แนะนำคนรอบข้างให้ใช้ตาม ซึ่งการที่ผู้บริโภคใช้สินค้าแล้วบอกต่อก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในชีวิตประจำวัน
แต่ในระบบธุรกิจทั่วไปผู้บริโภคจะทำการตลาดให้ผู้ผลิตฟรีๆ เช่น เมื่อเราไปชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง แล้วเรารู้สึกชอบ เราก็ไปคุยกับเพื่อน และชวนเพื่อนให้ไปดูบ้างเราก็มีความสุขที่ได้แบ่งปันสิ่งดีๆให้กับเพื่อนในขณะที่เพื่อนก็มีความสุขที่ได้ชมภาพยนตร์คุณภาพ
หากเปลี่ยนเป็นทำการตลาดในธุรกิจMLM เราจะได้รับทั้งความสุขและมีโอกาสได้รับรายได้ในส่วนที่ดารา นักแสดง ผู้ค้าส่ง และผู้ค้าปลีกได้รับและหากมองของผู้ผลิตนั้น ผู้ผลิตในธุรกิจขายตรงก็สามารถคลายความกังวลทางด้านต้นทุนที่เคยต้องแบกรับเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจทั่วไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายกับธุรกิจโฆษณา เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตต้องชำระแม้จะขายสินค้าไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทำให้ผู้ผลิตยังคงคุณภาพของสินค้าได้ในระดับสูง


ธุรกิจเครือข่าย หลอกลวงหรือไม่?





ในประเทศไทย โดยปกติแล้ว ผู้ผลิตที่จะกระจายสินค้าแบบเครือข่ายจะต้องยื่นขอจดทะเบียนกับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งก็เป็นการสร้างความมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่า ผู้ผลิตนั้นน่าเชื่อถือ ไม่หลอกลวง แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการแยกธุรกิจเครือข่าย ออกจากแชร์ลูกโซ่ สังเกตได้จากประเด็นดังนี้
  • แชร์ลูกโซ่จะมีค่าสมัครสมาชิกที่มีราคาสูงมาก โดยผู้แนะนำสมาชิกใหม่จะได้เงินโบนัส ทันทีที่มีการสมัครจากสมาชิกใหม่ แต่ธุรกิจเครือข่ายจะมีค่าสมัครสมาชิกที่ราคาถูก และผู้แนะนำสมาชิกใหม่จะไม่ได้รับส่วนเงินแบ่งจากค่าสมัครสมาชิก
  • แชร์ลูกโซ่จะเน้นที่การสมัครสมาชิก แต่ไม่เน้นที่ตัวสินค้า ขณะที่ธุรกิจ MLM จะเน้นที่การแนะนำสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งใช้แล้วหมดไป และก่อให้เกิดการซื้อซ้ำ เพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว
  • แชร์ลูกโซ่จะมีสินค้าที่ราคาสูงผิดปกติ และมาพร้อมกับค่าสมัครสมาชิก ในขณะที่ธุรกิจขายตรงจะขายสินค้าที่ราคาเป็นธรรม เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนช่องทางการใช้ค่าการตลาดจากการโฆษณา ค้าส่ง และค้าปลีก เป็นจ่ายให้กับนักธุรกิจเครือข่ายแทน
  • แชร์ลูกโซ่จะอยู่กับสมาชิกไม่นาน (ประมาณ 1-2 ปี) เพราะหากจำนวนสมาชิกใหม่ลดลง แชร์ลูกโซ่จะไม่มีเงินโบนัสไปจ่ายสมาชิกเก่า เพราะฉะนั้น บริษัทที่มีประวัติความเป็นมาพอสมควร ประกอบธุรกิจมานานกว่า 2 ปี จึงมีแนวโน้มที่จะไม่ใช่ธุรกิจแชร์ลูกโซ่

@@@@@@@@@@@@@@

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น