วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

คุณลักษณะเด่นของผู้ประสบความสำเร็จ 10 ประการ


1. กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ดี ทุกคนก็รู้ แต่ก็มีน้อยคนที่จะยอมเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง เพราะความกลัวในเรื่องต่างๆ เช่นกลัวล้มเหลว, กลัวถูกปฏิเสธ และ กลัวเสียหาย เป็นต้น ทำให้เลือกที่จะอยู่ในพื้นที่แห่งความคุ้นเคย (Comfort Zone) จึงเท่ากับย่ำอยู่กับที่ไม่มีความก้าวหน้าในงานเลย ดังนั้นเราต้องกล้าที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำในสิ่งที่ยากขึ้นเรื่อยๆ โดยคิดว่าถ้าหากไม่สำเร็จก็จะได้ประสบการณ์ชีวิตเองจะทำให้เรากล้าทำมากขึ้นครับ

2. มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน
การจะประสบความสำเร็จ จะต้องกล้าที่จะตั้งเป้าหมายแล้วควรจะชัดเจนด้วย เพราะถ้าเราไม่มีเป้าหมาย ชีวิตของเราก็คงเดินไปเรื่อยๆ ไม่ถึงไหนซักที เพราะเมื่อมีเป้าหมาย เมื่อเราทำถึงแล้วจะได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นไปอีก เราจะได้ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมายในงานก็เช่นเดียวกันหลายคนไม่ค่อยได้ตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำอะไรบ้าง ในแต่ละช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น ปีนี้, เดือนนี้, สัปดาห์นี้ หรือ วันนี้ เพราะคิดว่าตัวเองมีงานเยอะอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องตั้ง แต่จริงๆ แล้ว การตั้งเป้าหมายแล้วทำได้ก็จะทำให้เรามีความสุข แล้วอยากจะตั้งอีกเรื่อยๆ หากไม่สำเร็จบ้างก็ลองตั้งใหม่เดี๋ยวก็สำเร็จเอง ผมเจอคนประสบความสำเร็จมาเยอะส่วนใหญ่แล้ว จะเล่าเป้าหมายของเขาได้ชัดเจนจนเราเห็นภาพเลยครับ

3. เผชิญหน้ากับความล้มเหลวแล้วเริ่มใหม่
คุณลักษณะเด่นข้อนี้มีอยู่ในทุกคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะเขาจะลุกขึ้นมาได้ทุกครั้งที่เขาล้มเหลว แล้วมุ่งมั่นต่อไปจนในที่สุดไม่มีอะไรขวางกั้นเขาได้เพราะการทำงานทุกอย่างล้วนมีสิ่งที่เราคาดไม่ถึง ถึงแม้ว่าเราจะเตรียมตัวไว้ดีแค่ไหน ก็อาจจะเจออุปสรรคที่ทำให้ล้มเหลวได้ ดังนั้นหากเราบอกกับตัวเองเสมอๆ ว่า ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องน่าละอาย แต่การไม่ลุกขึ้นมาทำต่อไปต่างหากที่เป็นเรื่องน่าละอายก็จะทำให้เรามุ่งมั่นสู่ความสำเร็จได้ไม่ยากเลยครับ เช่น นักกีฬาที่ชนะเลิศ ทุกคนจะพบกับการแพ้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่เขาไม่ยอมแพ้นั่นเอง เขาจึงประสบความสำเร็จในที่สุด กรรมการผู้จัดการ หรือเถ้าแก่หลายคนที่ประสบความสำเร็จ ก็จะมีบาดแผลแห่งความล้มเหลวเต็มตัวเช่นกัน กว่าที่จะมาถึงวันนี้ได้

4. มุ่งมั่นในความคิดของตัวเองและทำจนกว่าจะสำเร็จ
คนเชื่อมั่นในตนเอง จำทำให้เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองด้วย แต่ก็ไม่ใช่ในความหมายว่าเป็นคนดื้อนะครับ แต่จะเป็นความหมายว่ามีจุดยืนของตัวเองไม่ว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไรในความคิดของเขา เขาก็จะมุ่งมั่นทำมันเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถทำมันได้ และจะภูมิใจในความคิดของตัวเองไปเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จในที่สุด หัวหน้าหลายคนทำให้ลูกน้องขาดความมั่นใจโดยไม่รู้ตัว เพราะจะคอยทักว่าไม่ดี ไม่ควรทำ เพราะหัวหน้าเห็นข้อจำกัดแต่จริงๆ แล้ว เท่ากับปิดกันไม่ให้ลูกน้องได้คิดเองทำให้สุดท้ายลูกน้องคนนั้น ก็จะไม่มีความคิดเลย แล้วก็จะเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเองในที่สุด หลายคนที่เป็นหัวหน้าคนอยู่ ควรระวัง ข้องนี้ให้ดีนะครับ ต้องคอยยุให้เขาทำตามความคิดของเขาจนกว่าจะสำเร็จ อย่าหยุด!

5. อยู่กับช่วงที่ตัวเองรู้สึกแย่น้อยกว่าช่วงที่ตัวเองรู้สึกดี
ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง คงไม่มีใครที่จะมีชีวิตที่ดีไปตลอด และก็ไม่มีใครที่มีชีวิตแย่ไปตลอด เพียงแต่ว่าใครจะเผชิญกับความรู้สึกแย่และความรู้สึกดีมากกว่ากัน ซึ่งการเผชิญความรู้สึกนี้ก็คือจิตใจที่เราไปคิดกับเหตุการณ์นั้นๆ เอง หากเราสามารถควบคุมความรู้สึกแย่ให้เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ แล้วพยายามรักษาความรู้สึกดีๆ ให้อยู่ในช่วงนานๆ หน่อย ก็จะทำให้ชีวิตมีความสุข และดำเนินชีวิตการทำงานไปได้อย่างราบรื่นแล้วจะประสบความสำเร็จในที่สุด ประสบการณ์ชีวิตการทำงานของแต่ละคนจะช่วยในเรื่องนี้ ได้ เช่น คนที่ผ่านเหตุการณ์วิกฤตมามากก็จะเข้าใจ และไม่จมอยู่กับเรื่องไร้สาระ เช่นความหดหู่, เบื่อหน่าย, ขี้เกียจ นานนักเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ดังนั้นก็จะปล่อยให้ความรู้สึกแย่ๆ อยู่แค่แป็บเดียว แล้วกระตุ้นตัวเองได้ เดินหน้าต่อได้ สำหรับคนที่ประสบการณ์น้อย ก็ต้องค่อยๆ ฝึกฝนไปครับ

6. รับฟังคำวิจารณ์จากผู้อื่นได้ดี
ความรู้อยู่ในทุกๆ ที่ที่เราผ่านไป ดังนั้นการรับฟังผู้อื่นเป็นหัวใจสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำวิจารณ์จากผู้อื่น ถ้าหากใครสามารถรับฟังได้มากก็จะประสบความสำเร็จได้มาก เพราะสามารถแปลคำวิจารณ์เป็นสิ่งที่เราสามารถนำไปปรับปรุงได้ไม่ใช่ฟังว่าเขาว่าอะไรเรา ดังนั้นถ้าหากเราเป็นคนเปิดกว้าง ก็จะมีสิ่งต่างๆ เข้ามาหาเรามากขึ้น เราก็มีโอกาส เลือกสิ่งดีๆ ได้มากขึ้น ส่วนสิ่งไม่ดีเราก็ไม่ต้องรับเข้ามาแต่การรับฟังคำวิจารณ์ จะให้ผู้อื่นกล้าพูดกับเรามากขึ้น ทั้งหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง ทำให้เราทำงานผ่านผู้คนได้ดีขึ้น สุดท้ายเราก็จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จแน่นอน

7. มีทัศนคติเชิงบวก
หมายความว่า การที่เรามีความเชื่อมั่นในงานที่เราทำและพร้อมที่จะรับผลของความล้มเหลวโดยการให้กำลังใจตัวเอง เพื่อให้ทำอีกจนกว่าจะประสบความสำเร็จ และไม่จินตนาการเรื่องที่เลวร้ายก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง แต่จะคิดในด้านบวกเสมอๆ กับสิ่งที่ทำเพื่อให้อยากทำ และอยากประสบความสำเร็จเพราะจินตนาการผลลัพธ์ในด้านดีไว้แล้ว คนเราสามารถโต้ตอบกับสิ่งต่างๆ ทั้งด้านบวกและด้านลบได้ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเรา แต่ถ้าเราควบคุมทัศนคติเชิงบวกในเรื่องต่างๆได้มากเท่าไร เราก็จะลงมือทำเรื่องต่างๆ ได้มากเท่านั้น ผลลัพธ์หรือผลงานก็จะยิ่งออกมาดี แล้วก็จะเหมือนกับคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ทำกันอยู่ คือเป็นคนที่มีทัศนคติเชิงบวกมากกว่าคนที่ประสบความล้มเหลว

8. มีภาวะความเป็นผู้นำสูง
ผู้นำ คือ ผู้ที่มีผู้อื่นปฏิบัติตามในสิ่งที่เราอยากให้ทำด้วยความเต็มใจ ดังนั้นผู้นำจะต่างจากผู้จัดการค่อนข้างมาก เพราะผู้จัดการทำให้ผู้อื่นทำตามด้วยคำสั่ง แต่ผู้นำทำให้ผู้อื่นทำตามด้วยการจูงใจ ในชีวิตการทำงานเราคงต้องมีทั้งความเป็นผู้จัดการและความเป็นผู้นำ แต่ถ้าผู้จัดการคนใดมีภาวะความเป็นผู้นำสูง ก็ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า เรื่องของผู้นำคงต้องขอยกไปพูดในหัวข้ออื่นๆ เพราะเป็นเรื่องที่เยอะมาก เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นว่า ผู้ประสบความสำเร็จ จะมีภาวะความเป็นผู้นำภายในตัวเองสูง และผู้ตามก็อยากตามด้วยความเต็มใจ

9. ให้ความสำคัญกับผู้อื่น
ผู้ประสบความสำเร็จทุกคนไม่สามารถทำอะไรโดยลำพังได้เลย ต้องมีผู้อื่นร่วมอยู่ในงานนั้นๆ อยู่เสมอ ถ้าผู้ใดบอกว่าประสบความสำเร็จได้โดยลำพัง แสดงว่าผู้นั้นคงเข้าใจอะไรผิด บางอย่างแน่ๆ เลย เพราะไม่มีผู้ยิ่งใหญ่คนใดทำงานสำเร็จได้เอง ดังนั้นการให้ความสำคัญกับผู้อื่นอย่างจริงใจจึงเป็นคุณลักษณะเด่นที่สำคัญ จะเห็นว่า ผู้ใดมีทีมงานที่ยิ่งใหญ่และเป็นทีมเวิร์คผู้นั้นจะประสบความสำเร็จสูง การให้ความสำคัญผู้อื่นหมายถึง การทำให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในวิสัยทัศน์ , ค่านิยม และแผนงานของเรา ส่งเสริมให้เขาได้แสดงความสามารถของเขาให้เต็มที่ ยอมรับในคุณค่าของเขา และปฎิบัติต่อผู้อื่นดังนี้ จะประสบความสำเร็จแน่นอนครับ

10. ดำเนินเรื่องด้วยความไม่ประมาท

ผู้ประสบความสำเร็จ จะไม่กลัวความล้มเหลว คิดอะไรได้ก็จะลงมือทำทันที แต่เขาก็ไม่ได้ประมาท เพราะก่อนที่เขาจะลงมือทำนั้น ต้องมีข้อมูล และแผนงานที่ชัดเจนก่อน มิเช่นนั้น เขาก็ยังไม่ทำ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง คือ เขามีขั้นตอนในการดำเนินชีวิตที่แน่นอน ไม่ยืนอยู่บนความเสี่ยงเด็ดขาดแต่ก็ไม่กลัวความล้มเหลวเมื่อลงมือทำแล้วก็จะทำให้ตลาดจนกว่าจะบรรลุผลสำเร็จ

เริ่มต้นทันทีกับโอกาสที่ดีที่สุดในโลก

1.   ผลิตภัณฑ์ !  ผลิตภัณฑ์ !  ผลิตภัณฑ์ !
เริ่มต้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์   คุณต้องเชื่อว่าผลิตถัณฑ์ที่คุณใช้อยู่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีเรื่องดี ๆ      เล่าให้คนอื่นฟังต่อว่าอะไรที่เป็นลักษณะเด่น   มีประโยชน์   และได้เปรียบเหนือคู่แข่ง   การนำประสบการณ์ในการใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณเองมาเล่าสู่กันฟังเพื่อบรรยายสรรพคุณ   ของตัวผลิตภัฑณ์จะทำให้คุณดูน่าเชื่อถือ   และสามารถโน้มน้าวผู้อื่นได้สำเร็จ

2.  รู้จักบริษัทของคุณ
เรียนรู้เกี่ยวกับบริษัทของคุณให้มากเท่าที่จะทำได้    ใครเป็นเจ้าของกิจการ   และประวัติของเขาเป็นมาอย่างไร   บริษัทดำเนินธุรกิจมานานเท่าไรแล้ว    ปริมาณยอดขายสินค้าและความรวดเร็วในการขยายตัวของสินค้าป็นอย่างไร   มีผู้จัดจำหน่ายมากเท่าไร    และเครือข่ายนี้ขยายตัวได้มากแค่ไหน

3. ฉันจะได้รับผลตอบแทนเท่าไร
 เข้าใจถึงแผนการตลาด    ศึกษาแผนจากบริษัท   สอบถามอัพไลน์ของคุณ   ต้องรู้ว่ามีโบนัสอะไรบ้างที่บริษัทต้องจ่ายไห้คุณจากยอดขายที่คุณและดาวไลน์ทำได้   ต้องรู้ว่าอัตราการจ่ายเงินที่คุ้มค่าคารเป็นเท่าใด

4. คุณเป็นนายตัวเอง
ขณะที่คุณเป็นนายของธุรกิจตัวเอง   ซึ่งหมายถึงว่าคุณสามารถทำงานที่ไหนก็ได้   และหนักหรือเบาก็ได้เท่าที่คุณต้องการ   เพราะไม่มีขอบเขต   แต่ถ้าคุณต้องการทำงานให้ได้ดี     คุณต้องเตรียมตัวที่จะทำงานอย่างหนักและชาญฉลาด 

5.  เส้นทางสู่ความสำเร็จ
รักษาเส้นทางสู่ความฝันและเป้าหมายของคุณไว้    จดบันทึกแผนการแต่ละวันไว้เสมอ   แผนในแต่ละสัปดาห์   เดือน   และปี   คุณน่าจะบรรลุเป้าหมายที่เป็นความฝันของคุณได้มากกว่า   ถ้าคุณเขียนมันลงไปและทบทวนมันทุกคืนก่อนที่คุณจะนอน   เมื่อคุณเกิดท้อแท้ก็ให้มองย้อนไปในสิ่งที่คุณทำสำเร็จมาแล้ว    จิตคุณจะได้กระชุ่มกระชวย    คุณจะมีความพร้อมที่จะเดินทางต่อไป

6. สร้างความสำเร็จของคุณบนความสำเร็จของคนอื่น
 การตลาดเครือข่ายเป็นธุรกิจที่ช่วยเหลือคนอื่นได้ยกฐานะชีวิตของเขา   ธุรกิจของเราถูกสร้างขึ้นมาเป็นลักษณะเพราะ   เพื่อที่จะเห็นว่าความสำเร็จของเราขึ้นอยู่    กับความสำเร็จโดยตรงที่เราได้ช่วยให้คนอื่นประสบความสำเร็จของเขา    ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย   ก็ช่วยเพียงนิดหน่อยสัก 2-3  คน   แต่ถ้าคุณต้องการความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่    คุณก็ต้องช่วยคนจำนวนมากให้ประสบความสำเร็จ 

7. สร้างความหลงใหลในผลิตภัณฑ์
นักการตลาดเครือข่ายที่จะประสบความสำเร็จต้องมีความหลงใหลในผลิตภัณฑ์   ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากแผนการตลาดที่ดี   และเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อนที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้   หากคุณไม่รัก   ผลิตภัณฑ์มันก็จะไม่ได้ผลอะไร   จำไว้ว่านี้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่ต้องใช้ถ้อยคำมากมาย   และถ้าคุณไม่สามารถที่จะบอกกับเพื่อน ๆ ของคุณเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่คุณชอบหรือใช้เอง   ก็อย่างเข้ามายุ่งกับธุรกิจนี้

8. ยิ้ม
ยิ้ม  มองจ้องตาที่ดวงตาของทุก    คน  ที่คุณพบและยิ้มให้เขา   มันทำให้คุณดูยอดไปเลย   แถมยังรู้สึกเยี่ยมอีกด้วย   การยิ้มเป็นเครื่องสำอางค์ที่ราคาถูกที่สุดในโลก 

9. ทำไม่ต้องเป็นการตลาดเครือข่าย
ทำไม่คุณจึงต้องการอยู่ในธุรกิจตลาดเครือข่าย   นักการตลาดเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จส่วนมากได้รับแรงผลักดัน   จากประสบการณ์บางอย่างที่พวกเขามี   เป็นสิ่งสำคัญที่จะระลึกถึงมัน   และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน   มันช่วยให้คุณมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน 

10. เปลี่ยนความกลัวให้เป็นพลัง  และความกล้า
คุณไม่สามารถปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่ามีบางคนที่ได้รับรู้ศักยภาพอันมหาศาล   ของการตลาดเครือข่าย   แต่ไม่เคยยอมลงมือทำ   ให้ความสำเร็จเกิดขึ้นกับพวกเขา   และหยุดชะงักในตอนแรกที่ต้องพูดเรื่องนี้กับคนบางคน   อุปสรรคสำคัญยิ่งคือความกลัว   กลัวว่าจะล้มเหลว   กลัวว่าจะมองดูไม่ดี   กลัวว่าจะถูกเยาะเย้ย  ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อความเชื่อของคุณไม่เข็มแข็ง   ความกดดันจะหายไปทันทีที่คุณเชื่อว่า   สิ่งที่คุณจะเสนอไม่ใช่เพียงแค่มีคุณค่า   แต่มันยังสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนบางคนได้ตลอดไปด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การรับมือกับการปฏิเสธ และข้อโต้แย้ง


1.  สิ่งต่าง ๆ  เปลี่ยนแปลงทุก  100  วัน
ถ้าผู้มุ่งหวังพูดว่า  "ไม่ "  กับคุณในวันนี้   ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปฏิเสธคุณตลอดไป   มันเป็นเรื่องของจังหวะเวลา  ถ้าเขาพูดว่า  "ไม่  " บอกตัวเองว่าเขาเพียงพูดว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม   มันสำคัญที่คุณต้องรักษาความเป็นไปได้ไว้ คุณไม่ต้องท้อแท้และปิดโอกาสไปอย่างถาวร แต่ควรพูดในลักษณะว่า  "  ขอบคุณที่สละเวลาทำความเข้าใจในธุรกิจที่ดิฉันทำอยู่   ผมยังอยากให้คุณเข้ามาร่วมธุรกิจนี้อย่างยิ่ง   ดังนั้น   ผมจะบอกตัวเองว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม    ผมหวังว่าคุณจะโทรหาผมเมื่อคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ "   ในขณะเดี่ยวกันก็โทรหาเขาเป็นครั้งคราวอย่างที่บอก

2.  ในตอนเริ่มต้น  ความเงียบคือโอกาสทอง
อย่าปล่อยให้ดาวไลน์มือใหม่ของคุณ   ออกหาผู้มุ่งหวังก่อนที่เขาจะได้รับการฝึกอบรมอย่างเพียงพอจากคุณ    และไม่เพียงแต่พวกเขาต้องเตรียมตัวเตรียมใจกับการถูกปฏิเสธ เน้น   ยังต้องเรียนรู้ถึงการจัดการกับการปฏิเสธด้วย   ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นคือการคัดค้านเล็กน้อย   และสิ่งเหล่านี้จะทำลายความมั่นใจ   และความเชื่อมั่นของดาวไลน์ของคุณ    การปฏิเสธที่ร้ายที่สุดแท้จริงแล้วกลับมาจากคู่สมรสของเขาเอง   ทางที่ดีที่สุดคือ   ห้ามไม่ให้เขาพูดกับคนอื่นเรื่องโอกาสทางธุรกิจ   จนกว่าคุณจะสอนเขาอย่างเพียงพอ 

3.  ข้อโต้แย้งเป็นสิ่งที่ดี  !
เสียงคัดค้านให้โอกาสคุณเข้าใจกับความกังวลที่อยู่ภายในใจของผู้มุ่งหวัง   สถานการณ์ที่แย่กว่าคือ   การปฏิเสธที่เขาไม่บอกอะไรคุณเลยนอกจากบอกว่า   โอกาสนั้นไม่เหมาะสำหรับเขา   ถ้าเจอเข้าแบบนี้คุณย่อมไม่สามารถไปทำอะไรต่อได้   แต่สิ่งเดียวที่คุณสามารถทำได้ก็คือ  พยายามขจัดการคัดค้านของเขาออกไปก่อน   จงพูดดักคอในสิ่งที่เขาจะเอ่ยปากคัดค้าน   เช่น   " บางคนกล่าวว่านี้เป็นการขายแบบพีระมิด   คุณกังวลเรื่องนั้นด้วยหรือไม่    ถ้าใช่   ผมจะชี้แจงความแตกต่างให้คุณฟัง "   อีกวิธีหนึ่งลองให้เขาจินตนาการภาพโอกาสธุรกิจว่าเป็นอย่างไร   และพยายามแก้ไขภาพนั้นให้ถูกต้อง  " คุณมีภาพอะไรอยู่ในใจเมื่อผมบอกเล่าโอกาสทางธุรกิจนี้ให้คุณฟัง   ภาพในใจผมตอนรับฟังเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายครั้งแรก   คือการเร่ขายสินค้าตามบ้าน   และปฏิกิริยาตอบสนองทันทีของผมคือ   นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการทำ   นั่นเป็นความคิดของคุณด้วยหรือเปล่า "  ประเด็นคือพยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย   จนกล้าที่จะพูดถึงเรื่องความกังวลใจของเขากับคุณ

4. ข้อโต้แย้ง :  ผมไม่มีเงิน
  คำตอบที่เป็นไปได้คือ    "  นั่นเป็นเหตุผลที่ถูกต้องว่าทำไมคุณควรจะพิจารณา    ธุรกิจนี้    ธุรกิจประเภทอื่นอาจต้องการเงินทุนพอสมควร   แต่ในการตลาดแบบเครือข่าย   คุณใช้เงินทุนเพียงเล็กน้อยหรืออาจไม่ต้องใช้เลย   อันที่จริง   คุณจำเป็นต้องใช้เงินจำนวน   XXX   บาท   ในตอนแรกเท่านั้น   ที่เหลือก็เป็นเรื่องของความปราถนา   ที่จะประสบความสำเร็จ    และความเต็มใจที่จะอุทิศเวลาให้กับมันมากกว่า " 

5.  ข้อโต้แย้ง :  ดิฉันขายไม่เป็นหรอกหรือผมไม่ใช่นักขาย
 คำตอบที่เป็นไปได้คือ   " เมื่อผมถูกชักนำเข้าสู่ธุรกิจนี้    ผมมีภาพในหัวว่า   ผมต้องเดินขายสินค้าตามบ้าน    มันเป็นภาพในอดีต   อย่างน้อยที่สุดสำหรับผม   เราไม่ขายในลักษณะที่คุณคิดว่าการขายจำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น   สิ่งที่เราทำคือ   บอกเล่าข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่เราชอบ   และใช้ส่วนตัวให้คนอื่นฟัง "   หรือ   "  ผมก็ขายไม่เป็นเช่นกัน    แต่เรามีวีดีโอและเทปที่อธิบายถึงผลิตภัณฑ์    และช่วยกระตุ้นให้คนซื้อ "   หรือ    "  ให้ผมถามคุณอย่างนี้ดีกว่า   ถ้าคุณได้ดูภาพยนต์ที่ดี    สักเรื่องคุณจะบอกเพื่อนคุณไหม    แล้วคุณจะทำอย่างเดียวกันถ้าคุณเจอผลิตภัณฑ์ที่คุณชอบหรือไม่    ในทำนองเดียวกัน    เราจะบอกต่อถึงสิ่งที่เราชอบในผลิตภัณฑ์    สิ่งนี้ไม่ใช่การขาย    นี่เป็นการโฆษณาปากต่อปากมากกว่า " 

6.  ข้อโต้แย้ง : ผมไม่มีเวลาหรอก
คำตอบที่เป็นไปได้   "  ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกอย่างไร    ผมเคยคิดว่าผมไม่มีเวลา   แต่ผมพบว่าถ้ามันสำคัญมากพอ    เรามักหาเวลาทำมันได้    การได้คุยกับคนจำนวนมากที่เหมือนตัวคุณ    ผมว่ามันสำคัญสำหรับคนส่วนมากที่จะใช้เวลาหาแหล่งรายได้ที่  2 " 

7.  ข้อโต้แย้ง  :  ผมไม่รู้จักใครสักหน่อย
คำตอบที่เป็นไปได้   "  นั่นคือสิ่งที่บางคนคิด   การวิจัยพบว่าคนทั่วไปรู้จักชื่อคนอย่างน้อย   80  คน  ถ้าคุณคิดอย่างนี้ผมแน่ใจว่าคุณต้องรู้จักอย่างน้อย  5   คนที่คุณสามารถคุยด้วยได้    และนั่นถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี  "     หรือ   "  คุณต้องการรู้จักคนเพิ่มหรือเปล่า    ผมว่านี่เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการหาเพื่อนนะ "

8.  ข้อโต้แย้ง : ขอปรึกษาภรรยาในเรื่องนี้ดูก่อน
คำตอบที่เป็นไปได้  "  ผมเองก็ต้องการคุยกับภรรยาคุณในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน    เมื่อไรดีครับ   "    หรือ   "  ผมดีใจที่คุณต้องการทำอย่างนั้น    แล้วผมก็อยากให้คุณทราบว่า    มีคู่สมรสหลายคู่ทำธุรกิจนี้ด้วยกัน    พวกเขาต่างสนุกและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน     ดังนั้นให้ผมเล่ารายละเอียด    คุณอีกเล็กน้อยนะครับ

9.  ข้อโต้แย้ง  :  นี่เป็นการขายแบบพีระมิดหรือเปล่า
คำตอบที่เป็นไปได้   "  ผมเดาว่าคุณกำลังพูดถึงการขายแบบต้มตุ๋นที่เรียกว่าการขายแบบลูกโซ่หรือพีระมิด    โดยทั่วไปมันจะมีลักษณะสำคัญ   2   ประการคือ    หนึ่ง.....ไม่มีผลิตภัณฑ์ที่จะขาย หรือมีผลิตภัณฑ์ที่ไร้ประโยชน์ไว้ขาย    สอง......ต้องใช้เงินจำนวนมากจ่ายล่วงหน้าก่อนจะได้รับค่าตอบแทนใด    บริษัทที่ผมกำลังพูดถึงนี้    ทำธุรกิจถูกกฎหมายและไม่ได้เข้าข่าย   2   ลักษณะข้างต้น "

10.  ข้อโต้แย้ง  :  ผมเคยลองทำดูแล้วแต่มันไม่เห็นจะเกิดผลดี  กับผมตรงไหนเลย
คำตอบที่เป็นไปได้   "  ผมเสียใจที่ได้ยินอย่างนี้     ผมต้องการเรียนรู้จากประสบการณ์คุณ    บอกผมได้ไหมว่าอะไรที่มันผิดพลาด  (  เปิดโอกาสให้เขาเล่าเรื่อง )    ขอบคุณที่กรุณาเล่าสู่กันฟัง    คุณทำให้ผมกระจ่างถึงข้อกังวลที่คุณอาจมี     ให้โอกาสผมได้บอกคุณว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้เรื่องอย่างนั้นมันเกิดขึ้นอีก   หรือไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก ..."   หรือ     "  ให้ผมถามคำถามคุณข้อหนึ่ง    แล้วคุณช่วยตอบผมอย่างตรงไปตรงมาได้ไหม     ถ้าคุณเป็นวิศวกรที่ชำนาญในการก่อสร้างสะพาน     สมมุติว่าสะพานแรกที่คุณสร้างเกิดพัง    คุณจะพูดไหมว่ามันไม่เห็นเกิดผลดีกับคุณเลย     ดังนั้นคุณจึงไม่สร้างสะพานอีกต่อไป     คุณจะไม่ตั้งคำถามเชียวหรือ     ว่าอะไรมันผิดพลาด   และพยายามทำให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ทำผิดพลาดซำสองอีก " 


เทคนิคการชวนคนและลักษณะของข้อโต้แย้ง
-.เราต้องเข้าใจธรรมชาติของคนก่อน
1.ยอมรับความเห็นต่าง   เพื่อที่เราจะได้เข้าใจเขา
ไม่มีใครคิดเหมือนเราทุกคน แต่ขอแค่ 2 คนที่คิดเหมือนเราก็พอ

2.ยอมรับพฤติกรรมและความต้องการต่างกัน
บางคนมีความใฝ่ฝัน แต่ขาดการลงมือทำ
บางคนมีความใฝ่ฝัน ลงมือทำแต่ทำไม่สุด เปลี่ยนงานบ่อย มองว่ายาก
บางคนมีความใฝ่ฝัน ลงมือทำจนฝันเป็นจริง**

-เทคนิคการชวนคน
-เราต้องรู้จักเขาก่อน ปรับทุกข์ผูกมิตร
เช็ค F O R M
Family  =  ฐานะของครอบครัว
Opportunity  =  การมองหาโอกาส
Requirement  =  ความต้องการในชีวิต
Money  =  ฐานะทางการเงิน

-เราต้องรู้จักตัวเราด้วย  เราคือ ผู้ให้เราไม่ได้ไปเอาอะไรจากเขา
เราเป็นผู้นำโอกาสหรือสิ่งดีดีไปให้เขา
อย่ามองเห็นเพื่อนเป็นเหยื่อ
- เสนอโอกาสทางรายได้ ร้อยเท่าพันทวี
ถามเขาว่ารู้จักธุรกิจ ร้อยเท่าพันทวี” หรือเครือข่ายตัวไหนมาบ้างไหม  ถ้าเป็นคำตอบเชิงปฏิเสธ ให้เรา..คล้อยตาม แต่..(ให้เหตุผล)
บอกเขาว่าวันนี้เราไม่ได้มาชวนเขาไปขายของ แค่ชวนเปลี่ยนที่ซื้อ ก็มีรายได้แล้ว ขออนุญาตเล่าให้ฟังนะ ทำไม่ทำ ไม่ว่ากันครับ แค่เห็นว่ามันดี และเป็นโอกาสที่พี่ เพื่อน จะ(ปลดหนี้) ได้

ลักษณะของข้อโต้แย้ง (ตัวอย่าง)
ไม่ชอบงานแบบนี้
แสดงว่าเขายังไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เขายังรักวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ อยู่
เคยมีเพื่อนทำแต่ไม่เห็นประสบความสำเร็จ..ทำไปก็เท่านั้น ไม่รวยซักที
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะทำไม่สำเร็จเหมือนคนอื่น

ไม่รู้จะไปชวนใคร
แสดงว่าเขายังไม่เข้าใจว่า ธุรกิจเครือข่าย ว่าดี
ไม่รู้จะไปชวนใคร แนะนำเทคนิคแบบง่าย ๆ ให้เขา เช่น
การหาผู้มุ่งหวัง (20-7-2)
- 20 คือ จัดทำรายชื่อ โดยไม่คิดแทน
- 7 คือ ผู้สนใจ
- 2 คือ เพชร

เทคนิคการตอบข้อโตแย้ง
-    การทำให้ความคิดเขาหรือสิ่งที่เขาเข้าใจ เหมือนกันกับเราก่อน เช่น ไม่ว่าเขาจะมีข้อโต้แย้งอะไร ให้เราใช้คำพูดว่า คิดเหมือนกันเลยครับ/ค่ะ ตอนที่มีเขา....มาชวนเรา แต่....(เพราะความเกรงใจเลยลองฟังดู ถึงได้เข้าใจ)...จึงได้ตัดสินใจลองทำดูกะว่าจะทำเล่นๆ แล้วเห็นว่าไม่อยากทำตามที่เขาบอก พอเห็นรายได้ที่มันเพิ่มขึ้นทุกเดือนๆ เลยเริ่มมองเห็นว่ามันสามารถที่จะทำให้ความฝันเราเป็นจริงได้ วันนี้ผม/ฉันเห็นว่ามันคือโอกาสที่ดีมาก จึงได้มาชวนพี่/เธอให้ลองทำดูด้วยกัน ค่าสมัครเพียงแค่ 300 บาท มีสบู่แถมให้ 1 ก้อนด้วยนะ อยากให้ลองฟังก่อนว่าดีไหม ส่วนเรื่องวิธีการค่อยว่ากันทีหลัง ขอเวลาซัก 30-45 นาทีนะครับ/คะ
-    วิธีที่ง่ายๆ ที่สุดก็คือ การไม่ตอบข้อโต้แย้งใด ๆ เลยเพราะการตอบคือการโต้แย้งความคิดเขา อย่าไปพยายามเคลียร์ข้อโต้แย้งเพื่อให้เขาเข้าใจเรา เราต้องเข้าใจเขา การตอบข้อโต้แย้งที่ดีที่สุด คือการนิ่งฟังในสิ่งที่เขาพูด ครับแล้ว ยิ้มยอมรับในสิ่งที่เขาคิด แล้วสถานการณ์จะดีขึ้นเอง

-    กรณีมีข้อโต้แย้งมาก ไม่สามารถจบได้ ก็ให้ “NEXT” ครับ ก่อนขอตัวออกมา ย้ำอย่าทำให้เขารู้สึกไม่ดี แล้วทิ้งท้ายด้วยประโยค ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ วันนี้ผม/ฉันได้มาบอกโอกาสดีๆ ให้พี่/เธอฟังแล้ว แค่นี้ก็ดีใจแล้วที่พี่/เธอรับฟัง ลองทบทวนสิ่งที่เล่าให้ฟังวันนี้นะค่อยตัดสินใจ ไม่อยากให้ทิ้งโอกาส ผม/ฉันเชื่อว่าพี่/เธอ ทำได้”  และถ้าอยากจะลองทำดูก็โทรหาได้ตลอดเวลานะ ครับ/คะ” 


อนาคตที่ดูสดใสของการตลาดเครือข่าย   เป็นเพียงความฝันหรือความจริงกันแน่  ?   สำหรับเราถือได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่ฝันจะเป็นจริง    แต่สำหรับคนส่วนใหญ่    ความฝันก็ยังเป็นแค่ความฝัน   เพราะพวกเขาไม่มีความพยายามอย่างเพียงพอที่จะทำฝันให้เป็นจริงขึ้นมาได้   จะต้องใช้ความตั้งใจและวินัยในระดับหนึ่งเพื่อให้ประสบความสำเร็จให้จงได้    แน่นอนว่ายังมีองค์ประกอบสำคัญบางประการ   ในการที่จะทำให้ธุรกิจชนิดนี้เกิดขึ้นได้    สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเลือกบริษัทที่เหมาะสม บริษัท ร้อยเท่าพันทวี จำกัด   ธุรกิจนี้เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเราสามารถสร้างเครือข่ายธุรกิจไปทั่วโลกอีกด้วย    ธุรกิจนี้มีความเป็นไปได้เพราะมีการขยายตัวของบริษัทการตลาดเครือข่าย    มากมายไปสู่นานาประเทศ   เป็นเรื่องไม่อยากเลยที่จะทำให้ธุรกิจกระจายไปสู่ประเทศอื่น    ตราบใดที่บริษัทของคุณมีเครือข่ายอยู่ที่นั่นด้วย   หลาย ๆ  คนในธุรกิจนี้มองว่านี้คือโอกาสอันยิ่งใหญ่   ด้วยเหตุผลว่า    การเข้าสู่ธุรกิจนี้นับว่าง่ายดายเมื่อเทียบกับผลประโยชน์    ทางการเงินจำนวนมหาศาลที่สามารถบรรลุได้   "  อดีตไม่อาจเทียบกับอนาคต  "  เพราะอนาคตมีสิ่งอื่น ๆ  ให้ค้นหาและน่าตื่นเต้น    หากคุณเข้าใจสิ่งที่เราอธิบาย    จงก้าวเข้าสู่ดินแดนใหม่แห่งนี้ด้วยความมั่นใจและศรัทธา    หากคุณยังมิได้ก้าวเข้ามาในธุรกิจนี้    ขอให้คุณลองก้าวออกมาจากกรอบของคุณ   และทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิม    ใครจะไปรู้ว่ามันอาจจะทำให้คุณได้ชีวิตตัวเอง    ที่ทำหล่นหายไปกลับคืนมาก็ได้

เทคนิคการเชิญชวนคนเข้าร่วมธุรกิจ


1.  เรากำลังมองหาใครอยู่
ในการทำธุรกิจ   มีเป้าหมายต่างกันอยู่สองประการ   ประการแรก   คุณต้องคอยมองหาผู้มุ่งหวังหรือผู้บริโภคที่มีอำนาจในการซื้อ   บางคนก็จะเข้ามาร่วมในองค์กรของคุณ   และซื้อสินค้าในราคาผู้แทนจำหน่าย    ประการที่สอง   คุณต้องจัดหาคนหรือสปอนเซอร์คนใหม่ ๆ  เข้ามาในเครือข่ายของคุณ   คนใหม่นี้จะต้องไม่เป็นเพียงผู้บริโภค  แต่ต้องเป็นผู้ร่วมสร้างธุรกิจด้วย   คุณต้องมองหาทุกรูปแบบและไม่มีอะไรที่จะบอกได้   ว่าใครมารูปแบบไหน

2.  ทำให้ผู้มุ่งหวังรู้สึกง่าย ๆ  สบาย ๆ
สร้างบรรยากาศให้ผู้มุ่งหวังของคุณรู้สึกว่าผ่อนคลายที่สุด   อย่าพยายามวางแบบฟอร์มการสั่งสินค้า  หรือใบสมัคร   ตรงที่ที่มองเห็นได้ง่าย  ในขณะที่เจรจากับผู้มุ่งหวัง   เพราะจะทำให้ผู้มุ่งหวังรู้สึกอึดอัดและกลัวว่าจะต้องเสียเงินซื้อสินค้าหรือจะต้องสมัครสมาชิก

3. ให้ลูกค้าแนะนำลูกค้า
ถามลูกค้าว่าพอจะแนะนำใครเป็นลูกค้าได้อีกไหมหรือสนใจเข้าร่วมธุรกิจกับเราไหม   รูปแบบโดยรวมของการทำตลาดแบบเครือข่าย    ขึ้นอยู่กับลูกค้าแนะนำ   จากบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่ง

4.  เปิดโอกาสให้ตัวเอง
เปิดทางไว้   คุณอาจอึดอัดเมื่อมีคนปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในธุรกิจเครือข่ายของคุณ   หรือปฏิเสธที่จะใช้สินค้าคุณ    คุณอาจโกรธที่ถูกปฏิเสธแต่คุณต้องหาวิธีที่จะเปิดทางไว้ก่อน   พยายามรักษาสายสัมพันธ์อันดีกับเขาและคุณค่อยหาโอกาสไปพบเขาอีก

5. ทำฟาร์มหอยมุก
คุณอาจไปเจรจาผิดคน   นักการตลาดเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จกล่าวว่า   ทุกคนที่เขาพบปะพูดคุยด้วยเปรียบเสมือนหอยนางรม   เขาจะต้องพยายามเปิดดูให้ได้ว่ามีมุกอยู่ข้างในหรือไม่   ถ้าไม่มีก็ปล่อยไป  แล้วไปหาผู้อื่นแทน   คุณใช้เวลากับคนที่ไม่มีแนวโน้มว่าจะเป็นลูกค้ามากไปหรือเปล่า 

6. ทำโฆษณาตัวเอง
ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้คนรู้   ว่าคุณทำธุรกิจอะไรอยู่   บนซองจดหมาย   ใต้หัวจดหมายของคุณ   หรือตรงที่ว่าง    ในนามบัตร   หรือบรรจุภัณฑ์อะไรก็ได้   คุณสามารถแจ้งข่าวสารสินค้าในช่วงแนะนำ  หรือกำลังวางขายลงไปได้ 

7.  พูดโทรศัพท์ให้กระชับไม่เยิ่นเย้อ
พยายามอย่าพูดอ้อมค้อมหรือนอกประเด็นเมื่อคุณโทรนัดผู้มุ่งหวัง   เขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่ก็ได้   จงพูดให้กระชับเข้าไว้   การได้อธิบายหรือคุยกันตัวต่อตัวเลยนั้น   จะดีกว่าการพูดทางโทรศัพท์

8. ถึงก่อนมีสิทธิ์ก่อน
เมื่อคุณเตรียมแผนงานของคุณเอาไว้พร้อมแล้ว   งานแรกของคุณคือหาผู้ที่จะเป็นลูกค้า   และ / หรือผู้ร่วมทีม   ในการหาผู้ร่วมทีม  จงทำสิ่งนี้ทันที่เพื่อสร้างโอกาส   ในการที่คุณจะได้ติดต่อให้เขาเข้าร่วมในธุรกิจเครือข่ายของคุณ   ถ้าคุณมัวแต่รออยู่   คนอื่นอาจจะมาคว้าเอาตัวเขาไปก่อนคุณ   และคุณจะพบว่าลูกค้าที่มาแรงของคุณได้เซ็นใบสมัครกับคนอื่นไปแล้วเมื่อคุณโทรไปหาเขา

9.  สร้างบัญชีรายชื่อผู้มุ่งหวัง
ขั้นแรกในการหาผู้มุ่งหวังคือทำบัญชีรายชื่อผู้มุ่งหวัง   ไม่มีหนทางอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้   บัญชีรายชื่อผู้มุ่งหวังจะเป็นเครื่องมือหลักของคุณ  ที่คุณจะขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ 

10.  ค้นหาเพชรให้เจอ

คุณจะไม่รู้ว่าใครเป็นเพชรของคุณ   ความสำเร็จในการทำธุรกิจนี้   เป็นไปได้ในทุกรูปแบบ    คนที่คุณคาดว่าเขาบินได้   เขาจะร่อนกลางเวหาได้เลย   ในทางตรงข้ามคนที่คุณว่าเขาน่าทึ่ง   เขาอาจจะไม่เคยนำเครื่องบินขึ้นบินเลยก็ได้   สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะทำได้   ก็คือให้โอกาศพวกเขา    และให้ความเอาใจใส่อย่างยุติธรรม   และเมื่อเครื่องของพวกเขาเริ่มติด    จงอยู่กับเขาเพื่อช่วยเขาทะยานสู่เวหา 


การนำเสนอธุรกิจและสปอนเซอร์ผู้มุ่งหวัง

1.  วิธีง่าย  ๆ ในการเริ่มต้น
 เชิญเพื่อนหรือเพื่อนบ้านมาที่งานนำเสนอธุรกิจที่บ้านคุณ   ถ้าคุณทำได้ควรทำการนำเสนอด้วยตัวคุณเอง   หรือขอให้อัพไลน์   ทำการนำเสนอให้   เพื่อที่คุณจะได้สังเกตการณ์หรือคอยเป็นผู้ช่วยเพื่อให้งานเดินไปได้ 

2. วาดภาพในใจ
 ช่วยดาวน์ไลน์ของคุณวาดภาพในใจ   ว่าพวกเขาจะมีความสุขแค่ไหนในการใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ    เช่นเดียวกับนักขายรถที่ประสบความสำเร็จ   จะพูดในขณะลูกค้าของเขาเข้าไปนั่งในรถเพื่อลองขับ   "เดี่ยวก่อน   คุณจะดูดีมากเลยครับในรถคันนี้   ลองดูตัวเองในกระจกบานนี้สิครับ "   พร้อมถือกระจกให้ลูกค้าสามารถมองเห็นตัวเองว่าได้เป็นเจ้าของรถที่ดูดีมีความสูข   และประสบความสำเร็จเพียงไร    เมื่อดาวน์ไลน์ของคุณใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ  (  เช่น  ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน )  คุณควรช่วยทำให้เขาเห็นว่า  เขาจะกลายเป็นคนที่ดูดีและสุขภาพดีแค่ไหน

3.  กระตุ้นแรงปรารถนา
นักขายที่ประสบความสำเร็จใช้สารพัดวิธีในการทำเช่นนี้   วิธีหนึ่งคือการวาดภาพที่สวยหรูมาก ๆ  เพื่อให้ลูกค้าสามารถ   รับรส   ได้กลิ่น   หรือมีประสบการณ์   การเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์อย่างเป็นจริงเป็นจัง    หรือทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้หรือสูญเสียเมื่อปราศจากผลิตภัณฑ์นั้น   ยกตัวอย่าง  เช่น  "  ทุกวันนี้   ทุก    คนต่างมองหาแหล่งรายได้แหล่งที่  2  กันทั้งนั้น และ "  หรือ   "นี่มันเป็นของใหม่ล่าสุดที่เดียวนะ"   คำพูดเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นความปราถนาที่จะไม่ยอมถูกทอดทิ้ง   หรืออยู่โดยปราศจากผลิตภัณฑ์นั้น ๆ

4.  สร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ
 เมื่อคูณขายผลิตภัณฑ์   คุณก็กำลังขายตัวเองด้วย   ความประทับใจแรกที่คุณสร้าง   ทำให้การขายดำเนินสู่ขั้นต่อไป   จงพยายามรักษาความประทับใจที่ดีนั้นไว้   เช่น   การปรากฏตัวอย่างมืออาชีพในการติดต่อครั้งแรกช่วยสร้างความหน้าเชื่อถือ   เพราะว่าคุณดูประสบความสำเร็จ   ถ้าคุณทำสำเร็จในการปรากฏตัว   ลูกค้าจะจินตนาการว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรจะดูดีเสมอ   การมีภาพพจน์ที่ดูประสบความสำเร็จ   คุณควรแต่งตัวอย่างมีสไตล์    ใส่เสื้อผ้าที่ดูสะอาดและดูเรียบร้อย   ขัดรองเท้าให้เงา   และนำเอกสารการนำเสนอติดตัวไปอย่างมืออาชีพ 

5. เชิญผู้มุ่งหวังเข้าสู่การประชุม
คุณจะสามารถเพิ่มโอกาสไปสู่ความสำเร็จได้   หากคุณสามารถชักชวนผู้มุ่งหวัง   ให้ไปร่วมการประชุม  ได้สำเร็จโดยทำตามข้อเสนอแนะเหล่านี้   ถ้าคุณจัดการนัดหมายล่วงหน้าหลายวัน   ก็จงโทรยืนยันว่าคุณจะไปร่วมประชุมในวันนั้นด้วยแน่ ๆ  วิธีนี้ก็เท่ากับคุณเพิ่มโอกาสที่ผู้มุ่งหวังไปร่วมงานอย่างที่รับปากไว้   ไปรับผู้มุ่งหวังแล้วพาไปงานถ้าคุณทำได้   ด้วยวิธีนี้คุณจะทำให้ผู้มุ่งหวังรู้สึกสะดวกสบายที่สุดในการไปร่วมประชุม   มิฉะนั้น   พวกเขาอาจแค่ตกลงไปพบคุณในที่ประชุม   แต่เอาเข้าจริงกับหายจ้อย

6. รักที่จะเรียนรู้
จงทำตัวเป็นนักการศึกษา   ธุรกิจที่ขยายใหญ่ขึ้นมานั้นมาจากการให้การศึกษา   ผู้อื่นเกี่ยวกับแนวคิดบางประการมากกว่าแค่ขายผลิตภัณฑ์หรือขายภาพพจน์บริษัทคุณ   จงให้แนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับตลาดเครือข่าย   แก่กลุ่มเป้าหมายของคุณ   เช่น   การใช้เวลาให้คุ้มค่า   การมีแหล่งรายได้หลายทาง   เงินเดือนหลายระดับ  ฯลฯ  เครือข่ายที่ใหญ่เกิดมาจากการรับสมัคร ผู้ก่อตั้งธุรกิจที่มีแนวคิดที่ยอดเยี่ยม   ไม่ใช่เพียงแค่ลูกค้าที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์เท่านั้น

7. ตั้งคำถามที่มีพลัง
ใช้คำถามที่มีพลังเพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่าย   หรือเปลี่ยนแปลงความคิดของเขา   ถามคำถามที่อาจทำให้เขาสดุ้งเล็กน้อย   เช่น   ถ้าเกิดคุณถูกเลิกจ้างในวันพรุ่งนี้   ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม   คุณยังมีแหล่งรายอื่นไว้เลี้ยงครอบครัวคุณหรือไม่   เป็นต้น

8.  จังหวะเวลาคือทุกสิ่งทุกอย่าง
 การนำเสนอทางธุรกิจเป็นเรื่องของการฟังเพื่อทำความเข้าใจ   ความต้องการของผู้มุ่งหวัง   และเลือกบอกเขาในสิ่งที่เหมาะสมที่สามารถสนองความต้องการของเขา   ถ้าคุณพบว่าผู้มุ่งหวังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรับฟัง   หรือไม่พร้อมที่จะรับฟังคุณ   คุณคงไม่ต้องการพูดเรื่องธุรกิจ   ธุรกิจนี้เกี่ยวข้องอย่างมากกับเรื่องจังหวะเวลา    บางครั้งมันอาจจำเป็น   ที่ต้องแบ่งการประชุมออกเป็น  2  รอบ   เพราะมันอาจไม่ใช่จังหวะเวลาที่เหมาะสมนัก   ที่จะคุยลงลึกในรายละเอียดตั้งแต่การประชุมรอบแรก

9. หลังจากการเข้าร่วม
ทันที่คุณสรุปการนำเสนอให้กับผู้มุ่งหวัง    และถ้าคุณประสบความสำเร็จ   จะมี  2-3  อย่างที่เกิดขึ้นได้  เขาอาจตัดสินใจลองผลิตภัณฑ์ในกรณีที่คุณขายเขาได้   หรือดึงเขามาร่วมธุรกิจเครือข่ายและซื้อในราคาผู้ขาย  ให้เขาเป็นผู้เลือก   ถ้าเขาเลือกที่จะเข้าร่วม   จงทำข้อตกลง   และสอนเขาถึงวิธีสั่งซื้อสินค้าของบริษัท   ให้เขาโทรหาคุณเมื่อเขามีปัญหา    ถ้าเขาตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจ   คุณยังคงต้องให้เขายุ่งเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์อยู่   หลังจากเรียนรู้วิธีการสั่งผลิตภัณฑ์แล้ว    จงเตรียมสอนเขาถึงวิธีการสร้างธุรกิจต่อไป 

10. บอกเรื่องราวของคุณ
นักธุรกิจเครือข่ายทุกคนต่างมีเรื่องราวเกี่ยวกับการเข้าสู่ธุรกิจนี้  เรื่องที่คุณบอกเล่าอาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้มุ่งหวังของเรา   เพราะมันมาจากประสบการณ์จริงของคุณ   มันจึงอาจทำให้ผู้มุ่งหวังเกิดความสนใจได้    มันควรจะเป็นเรื่องราวปกติที่ยาวเท่าที่มันเป็นจริง   และควรจะมีพลังและหน้าเชื่อถือ

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กลยุทธ์ในการสร้างความสำเร็จ

กลยุทธ์ในการประสบความสำเร็จในธุรกิจร้อยเท่าพันทวี

กลยุทธ์ในการทำธุรกิจเครือข่ายของหลาย ๆ คน เป็นกลยุทธ์ที่ผิดพลาด อย่างรุนแรง เพราะพวกพวกเขามุ่งชนเป้าหมายเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้สนใจการเตรียมการล่วงหน้า แต่อย่างใดก็ตาม ถ้าเปรียบกับการยิงปืนก็คือ ยิง->เตรียมพร้อม->เล็ง  ซึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะยิงโดนเป้าหมายด้วยขั้นตอนแบบนี้  ดังนั้นในการทำธุรกิจเครือข่ายคุณควรจะมีกลยุทธ์ที่ถูกต้อง เพื่อที่จะทำให้คุณได้รับผลลัพธ์เท่าที่คุณต้องการ 

คุณต้องการรู้กลยุทธ์นั้นหรือยัง ?

  ความสวยงามอย่างหนึ่งของธุรกิจเครือข่ายก็คือ สมการของอัตราการประสบความสำเร็จและล้มเหลวของคุณ ล้วนขึ้นอยู่กับคุณทั้งสิ้น ซึ่งคุณไม่จำเป็นที่จะต้องมีเงินมากมาย หรือไม่จำเป็นต้องมีที่ทำงานขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่คุณจำเป็นต้องมีนั่นก็คือกลยุทธ์ในการทำธุรกิจที่ถูกต้อง เท่านั้นก็เพียงพอต่อการประสบความสำเร็จของคุณในธุรกิจเครือข่ายแล้ว

แต่คุณต้องเข้าใจว่าไม่มีเวทมนต์ในโลกแห่งความเป็นจริงฉันใด ก็ไม่มีกลยุทธ์ใด ที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้ชั่วข้ามคืนฉันนั้น  แต่ในวันนี้เราจะพูดถึงกลยุทธ์ที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างถูกต้อง รวมถึงสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง

และต่อไปนี้คือ 9 กลยุทธ์นั้น

1. การให้ความสำคัญกับชีวิตของคุณ : การเตรียมตัวประการแรกในการทำธุรกิจเครือข่าย ก่อนอื่นคุณจำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญของชีวิตของคุณก่อน นั่นหมายความว่า คุณต้องตระหนักว่าชีวิตนี้เป็นของคุณ ไม่ใช่เป็นของงานของคุณ และไม่ใช่เป็นของเจ้านายของคุณ เพราะถ้าคุณไม่สามารถตระหนักถึงความสำคัญข้อนี้ได้ คุณจะไม่สามารถก้าวออกมาเพื่อสร้างธุรกิจเครือข่ายได้อย่างแน่นอน เพราะคุณก็จะยังติดอยู่กับงานของคุณ กับนายจ้างของคุณ และให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้นมากกว่าอนาคตของคุณเองเสียอีก

2. การตั้งเป้าหมาย : การตั้งเป้าหมายในการทำธุรกิจ ซึ่งเป้าหมายนั้นควรจะชัดเจน และมีเวลากำหนดชัดเจน จึงจะเรียกว่าการตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง พึงระลึกไว้เสมอว่า ยิ่งเป้าหมายของคุณมีขนาดใหญ่เท่าใด คุณจะยิ่งมีการลงมือทำให้หนักเทียบเท่ากับเป้าหมายนั้น

3. การสร้างวิสัยทัศน์ : สร้างวิสัยทัศน์ของสิ่งที่คุณจะมุ่งไปในการทำธุรกิจกับทีมงานของคุณ รวมถึงกลุ่มคนรอบตัวที่มีความสำคัญกับคุณ ไม่ว่าจะเป็น สามี ภรรยา ลูก พ่อ แม่ เพื่อที่พวกเขาจะได้เข้าใจถึงสิ่งที่คุณกำลังจะทำ และเป็นการสร้างพันธะสัญญา เพื่อตอกย้ำการลงมือทำในธุรกิจเครือข่ายของคุณอีกทางหนึ่งด้วย

4. ค้นหาคุณค่าของตัวคุณ : ค้นหาว่าคุณค่าของตัวคุณนั้นคืออะไร ไม่ว่าจะเป็นการมีความตั้งใจในการทำงาน ความกะตือรือร้นในการทำงาน หรือการเข้ากับคนได้ง่าย เพื่อที่คุณจะสามารถนำจุดเด่นเหล่านั้นของคุณไปใช้ในการทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. ค้นหาทักษะที่คุณเชี่ยวชาญ : ค้นหาว่าคุณเชี่ยวชาญในทักษะใด และทักษะที่คุณเชี่ยวชาญนั้น สามารถนำพาให้คุณประสบความสำเร็จได้หรือไม่  ถ้าทักษะนั้นสามารถทำได้คุณย่อมได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจนี้ แต่หากคุณไม่มี คุณจำเป็นต้องพัฒนาทักษะที่สำคัญ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพูด การสื่อสาร การเข้าหาผู้คน เป็นต้น

6. การเลือกกลุ่มเป้าหมาย : คุณจำเป็นต้องเลือกกลุ่มผู้มุ่งหวังที่คุณจะเข้าไปทำธุรกิจ ให้เหมาะสมกับธุรกิจที่คุณกำลังทำ คุณคงไม่อยากแนะนำเครื่องใช้ภายในเครือเรือนให้กับนักศึกษา และคงไม่อยากแนะนำยาให้กับเด็กวัยรุ่นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงควรเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ดีก่อน

7. การเลือกใช้ระบบ : ระบบเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างทีมงาน เพราะเมื่อคุณแนะนำธุรกิจให้กับนักธุรกิจหน้าใหม่ พวกเขาควรมีระบบที่ช่วยพวกเขาในการเริ่มต้นที่ถูกต้อง มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่สามารถอยู่ในธุรกิจ ได้นานจนประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ดังนั้นคุณควรเลือกระบบที่ง่ายและลอกเลียนแบบได้แบบ 100%

8. ค้นหาพลังแฝงในตัวคุณ : ในตัวเราทุก ๆ คนล้วนแล้วแต่มีพลังชนิดหนึ่ง ที่จะช่วยทำให้สิ่งที่ยากเกินกำลังของเรา สำเร็จไปได้ด้วยดี และถ้าเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เราจำเป็นต้องค้นหาพลังเหล่านั้นให้เจอ แต่ขอให้คุณเชื่อมั่นครับ เพราะพลังนั้นมีอยู่ในตัวของทุก ๆ คน

9. ค้นหาแหล่งเพิ่มความรู้ของคุณ : ในการทำธุรกิจเครือข่ายคุณจะต้องต่อสู้กับปัญหา และปัญหาที่คุณเจอก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามความสำเร็จที่คุณได้รับ ดังนั้นคุณควรจะมีแหล่งเพิ่มพูนความรู้ เพื่อทำให้คุณสามารถรับมือกับปัญหาเหล่านี้ และสามารถก้าวข้ามผ่านปัญหาเหล่านี้ได้

และนี่คือกลยุทธ์ทั้งหมด แต่ผู้คนส่วนใหญ่ จะสนใจเฉพาะในสิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญและทำได้ดี โดยไม่ได้สนใจที่จะปรับปรุงข้อด้อยของพวกเขา ทั้ง ๆ ที่อันที่จริงทุกกลยุทธ์นั้น ล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกันและไม่สามารถขาดตกบกพร่องได้


นี่คืออีกหนึ่งบทความที่ผมไปสะดุดมันเข้าโดยบังเอิญ เป็นบทความของคุณบอยหรือ คุณวิสูตร แสงอรุณเลิศ ผู้เขียนหนังสือ งานไม่ประจำทำเงินกว่า ซึ่งเป็นหนังสือติดอันดับขายดีเล่มหนึ่ง และผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงอยากนำมาแชร์ในบล๊อคของผม...

เอาหละติดตามกันได้เลยครับ...

ผมคิดว่า "ความสม่ำเสมอ" นั้นคือ เคล็ดลับแห่งความสำเร็จทั้งปวง....
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องออมเงิน เรื่องลงทุน เรื่องสุขภาพ เรื่องความรัก

ถ้าเราทำมันอย่างสม่ำเสมอ ความสำเร็จจะค่อยๆเกิดขึ้นเอง โดยที่เราก็ไม่รู้ตัว เพราะความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องของการก้าวหนึ่งก้าวได้ยาวหนึ่งกิโลเมตร แต่มันคือการก้าวไปข้างหน้าวันละหนึ่งเมตร เป็นเวลาหนึ่งพันวัน

ที่คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จนั้น ผมว่าไม่ใช่เพราะพวกเขาลำบากเกินไป แต่เป็นเพราะสบายเกินไป

สมมติว่า มีคน ๑๐๐ คนอาศัยอยู่บนเกาะที่มีอาหารไม่ค่อยพอกิน และห่างออกไปตรงนั้น คือ เกาะสวรรค์

วันนึงพระเจ้าก็เสกเรือลำเล็ก ๆ พร้อมไม้พายมาให้คนละลำ แต่ปัญหาก็คือ ไม่มีใครพายเรือเป็น
ทุกคนจึงต้องฝึกพาย

เชื่อมั้ยครับ ใน ๑๐๐ คนนี้

๕๐ คน จะบอกว่าน่าสนใจ เดี๋ยววันหลังจะลองดู แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไป
๓๐ คน มายืนด้อม ๆ มอง ๆ แล้วบอกว่าท่าจะยาก อยู่บนเกาะนี้ก็ดีอยู่แล้ว
๑๐ คน จะไม่ยอมฝึก แต่ลองพายดูเองสักพักแล้วก็บอกว่าเหนื่อย ยาก หยุดดีกว่า
๕ คน ฝีกมาอย่างดี พายไปได้ครึ่งทางแล้ว แต่ดันบอกว่า หมดแรง ขอพายกลับดีกว่า (จะถึงอยู่แล้วเชียว)

มีเพียง ๕ คน เท่านั้นที่อดทน ฝึกฝน ฟันฝ่า ท้าแดดลมฝนจนมาถึงเกาะสวรรค์

และนั่นก็เป็นคำตอบว่า ทำไมโลกนี้จึงมีคนสำเร็จน้อยเหลือเกิน

ไม่ใช่ "ความล้มเหลว" หรอกที่ฉุดเราไว้
แต่เป็น "ความกลัวที่จะล้มเหลว" ต่างหาก
เพราะความล้มเหลวยังสอนอะไรบางอย่างกับเรา
แต่ความกลัวที่จะลัมเหลวไม่เคยสอนอะไรเลย เพราะเราจะไม่ลงมือทำ

ถ้ามีใครสักคนไปแกะพื้นบันไดสู่ความสำเร็จดู เขาจะพบว่า ใต้บันไดนั้นเต็มไปด้วยความล้มเหลว
แต่เนื่องจากมันอยู่ใต้บันได น้อยคนจึงเคยได้เห็น คนส่วนมากจึงคิดเองว่า ความสำเร็จนั้นได้มา
เพราะโชคจึงขึ้นสู่ความสำเร็จได้ต่างหาก

เมื่อยังเยาว์ ครูของเราชื่อ "ความล้มเหลว" ครับ
แต่พอโตขึ้น ครูคนนี้ท่านจะเปลี่ยนชื่อเป็น "ประสบการณ์"